กระแสเรื่องโลกร้อนกลายเป็นเรื่องราวกระแสหลักที่ใครๆ ต่างก็ให้ความสนใจ รัฐบาลประเทศต่างๆ ต่างก็ได้รับแรงกดดันให้ดำเนินมาตรการเพื่อสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยคาร์บอนฟุตปรินท์มากขึ้น ซึ่งสำหรับภาคธุรกิจและเอกชนก็จำเป็นต้องมีมาตรการดังกล่าวเช่นกัน
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเล็งเห็นถึงความสำคัญถึงประเด็นดังกล่าวและต้องการจะทำให้ธุรกิจของคุณเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น บทความนี้อาจช่วยคุณได้ เพราะเราจะมาบอกเคล็ดไม่ลับที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณมีความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงวิธีที่จะทำลดการปล่อยคาร์บอนฟุตปรินท์
ทำไมการทำให้ธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมถึงสำคัญ?
ภาคธุรกิจควรให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมด้วยสาเหตุหลายปัจจัย เช่น:
- เพื่อลดผลกระทบจากธุรกิจที่จะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น เช่น ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยการมุ่งเน้นวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้เป็นหลัก
- เพื่อตอบสนองต่อนโยบายของภาครัฐ กับมาตรการเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
- เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นว่าคุณมีสำนึกในสิ่งแวดล้อม และแบรนด์ของคุณยึดถือคุณค่าแบบเดียวกันกับพวกเขา (ซึ่งในปัจจุบัน ผู้คนกำลังให้ความสนใจที่จะร่วมงาน หรือลงทุนกับธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ)
การทำให้ธุรกิจมีความยั่งยืนมากขึ้น รวมไปถึงดำเนินมาตรการที่จำเป็นในการลดกิจกรรมที่จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อโลกของเรา จะสามารถช่วยธุรกิจของคุณได้ในหลายๆ ด้าน ไม่ใช่แค่มันจะทำให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจคุณในสายตาลูกค้าดีขึ้นเพียงเท่านั้น แต่มันยังดึงดูดธุรกิจใหม่ๆ ให้เข้ามาหาด้วยเช่นกัน
อย่างที่เรากล่าวไว้ข้างต้น ผู้คนกำลังให้ความสนใจในธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเมื่อใดที่คุณเริ่มมาตรการดังกล่าว มันจะเป็นสัญญาณที่จะส่งไปถึงกลุ่มลูกค้าที่กำลังมองหาธุรกิจที่น่าเชื่อถือ ทั้งยังมีความรับผิดชอบ ซึ่งพวกเขาเหล่านี้พร้อมจะเป็นลูกค้าประจำให้กับธุรกิจของคุณได้เลยทีเดียว
นอกจากนั้นแล้ว บางครั้ง การเลือกหนทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาจจะทำให้เราประหยัดได้มากกว่าเดิมในระยะยาวอีกด้วยนะ
ธุรกิจในไทยสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
ในปัจจุบัน หลายๆ ธุรกิจเริ่มดำเนินมาตรการเพื่อสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมกันอยู่หลายอย่างเลย เช่น
มาตรการการทำงานระยะไกล/ทำงานที่บ้าน
ถ้างานบางอย่างสามารถทำสำเร็จได้ที่บ้าน การพิจารณาให้พวกเขาทำงานแบบ Work from home (WFH) ก็เป็นมาตรการที่ใช้ได้ผลเลยทีเดียว
เช่นว่าคุณอาจจะให้พนักงานเข้าออฟฟิศ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่วนวันที่เหลือก็ทำงานที่บ้านไป ซึ่งมันไม่ใช่แค่จะทำให้พนักงานประหยัดค่าเดินทางเพียงเท่านั้น แต่มันยังจะทำให้บริษัทของคุณลดการปล่อยคาร์บอนฟุตปรินท์ (การใช้ไฟ, น้ำ ฯลฯ) และก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของโลกร้อน
เสนอทางเลือกในการเดินทาง
แทนที่จะให้พนักงานต้องขับรถมาทำงาน คุณอาจจะพิจารณาทางเลือกอื่นๆ ให้กับพวกเขาได้เหมือนกัน
เพิ่มสวัสดิการบางอย่างเช่น ให้ค่ารถไฟฟ้าสำหรับเดินทางมาทำงาน หรือสนับสนุนให้พนังงานปั่นจักรยานมาทำงาน เหมือนอย่างในอังกฤษ แม้ว่าในทางปฏิบัติอาจจะยากสำหรับประเทศไทย แต่หากทำได้คุณจะสร้างความแตกต่างได้เลย
แต่แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายเหล่านั้น การที่บริษัทจะต้องแบกรับก็อาจจะหนักซักหน่อย แต่เพื่อสิ่งแวดล้อมและภาพลักษณ์ของแบรนด์แล้วมันอาจจะคุ้มก็ได้นะ
ลดการใช้กระดาษเท่าที่จะเป็นไปได้
เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องที่ทุกคนน่าจะทราบกันดี แต่สำหรับบริษัทไหนที่ยังไม่ได้พิจารณาการลดใช้กระดาษ คุณอาจจะควรอ่านเรื่องนี้ซักหน่อย เพราะการลดใช้กระดาษคือวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพมากในการทำให้ธุรกิจของเรามีความยั่งยืนมากขึ้น เราอาจไม่ต้องไปมองไกลถึงสิ่งแวดล้อมก็ได้ แต่ลองคิดดูสิว่าในแต่ละปีบริษัทของเราเสียงบประมาณไปกับกระดาษ ปากกา ดินสอ หรือหมึกพิมพ์ไปมากแค่ไหน?
การย้ายไปใช้เอกสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่ใช่แค่จะช่วยโลกเท่านั้น แต่ยังปลอดภัยด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยจากระบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง อีกด้วย
ลดการใช้งานผลิตภัณฑ์แบบใช้แล้วทิ้ง
คุณกำลังใช้แก้วพลาสติกอยู่รึเปล่า? แก้วแบบใช้แล้วทิ้งจากเครื่องชงกาแฟล่ะ? การแบนผลิตภัณฑ์แบบใช้แล้วทิ้งแบบนี้ พร้อมทั้งสร้างลักษณะนิสัยใช้แก้วส่วนตัว นอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในบริษัทได้แล้ว ยังช่วยสร้างความแตกต่างให้กับสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ
ใช้แล้ว ใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่
จริงๆ หัวข้อนี้แทบจะนอนมา ไม่มีใครไม่เคยได้ยิน แต่เราต้องสร้างให้เป็นนิสัย รีไซเคิลทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ หรือสำหรับบางบริษัทสามารถมองไปได้ไกลกว่านั้น นั่นก็คือการมองหาวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้มาใช้กับไลน์การผลิตสินค้าของคุณแทน
เลือกธุรกิจท้องถิ่นเป็นซัพพลายเออร์
ถ้าเป็นไปได้ การเลือกผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ในท้องถิ่น คืออีกก้าวของการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน เพราะมันจะไม่ใช่แค่ธุรกิจของเรา แต่เรายังช่วยสนับสนุนชุมชนด้วย
เปลี่ยนมาใช้ทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำ น้ำยาทำความสะอาดออฟฟิศ ไปจนถึงกาแฟที่ชงกันทุกๆ เช้า หากในท้องตลาดมีตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เราก็อาจลองเปลี่ยนไปสนับสนุนแบบนั้นดีกว่า เพื่อเป็นอีกก้าวในการช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ในบางกรณีเราก็อาจจะต้องจ่ายเพิ่มอีกซักหน่อย แต่ถ้าเราสามารถ ‘go-green’ ได้ในทุกๆ แง่มุมของธุรกิจ เราก็มีโอกาสที่จะดึงดูดลูกค้าที่มีแนวคิดแบบเดียวกันเข้ามาหาเราได้มากขึ้น
คืนกำไรสู่สังคมบ้าง
ในทุกๆ ธุรกิจเราสามารถที่จะมอบอะไรซักอย่างคืนสู่สังคมได้เสมอ เช่นหากคุณเป็นร้านอาหาร คุณอาจพิจารณามอบอาหารเหลือสำหรับวันนี้ อาหารขายไม่หมดแต่ก็ไม่สามารถนำกลับไปขายในวันต่อไปได้เช่นกัน ให้กับศูนย์พักพิงคนไร้บ้าน แทนที่เราจะทิ้งไปเลยแบบเสียเปล่า
กรณีที่เป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ เลยก็คือบริษัท Casper บริษัทขายที่นอนสัญชาติอเมริกัน ที่พวกเขามีนโยบายไม่นำสินค้าที่ตีคืนมากลับไปขายใหม่ และนำที่นอนเหล่านั้นบริจาคให้กับมูลนิธิต่างๆ ที่ต้องการแทน
ย่อยเศษอาหารแล้วนำไปใช้เป็นปุ๋ย
คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าทั่วโลกของเรามีเศษอาหารมากกว่า 1 ใน 3 ที่กลายเป็นขยะอาหารในแต่ละปี (ราวๆ 2.5 พันล้านตัน) และเศษขยะอาหารเหล่านี้ก่อให้เกิดก๊าซมีเทนในปริมาณมหาศาล ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจก ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อนตามมา
ธุรกิจของคุณสามารถช่วยลดผลกระทบจากตรงนี้ไปได้ หากช่วยกันคนละไม้คนละมือ โดยการย่อยเศษขยะอาหารเหลือ ยกตัวอย่างเช่น
- เครื่องย่อยเศษอาหารขนาดสำหรับภาคธุรกิจ/เชิงพาณิชย์ ที่เหมาะมากสำหรับร้านอาหาร โรงแรม หรือธุรกิจอื่นๆ ในสายบริการ เพราะแทนที่เราจะนำเศษอาหารทิ้งไปให้เน่าเสียอยู่ที่ไหนซักที่ เราก็เทใส่เครื่องนี้ให้ย่อยสลาย และเราก็นำปุ๋ยที่ได้ไปใช้กับต้นไม้ตกแต่งรอบๆ พื้นที่ได้อีกด้วย อีกข้อดีของการใช้เครื่องย่อยเศษอาหารสำหรับภาคธุรกิจนี้ก็คือ เราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของการทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นจากการที่เศษขยะอาหารเหล่านั้นเน่าเสีย แม้ว่าเราจะทิ้งขยะเหล่านั้นทุกวัน แต่กลิ่นที่หมักหมมระหว่างวันก็ไม่น่าพึงประสงค์อยู่ดี
- สำหรับการใช้งานออฟฟิศที่เศษขยะอาหารอาจไม่ได้เยอะขนาดนั้น ก็ยังมีเครื่องย่อยเศษอาหารขนาดเล็กที่พอเหมาะพอดีกับการใช้งานเช่นกัน ติดตั้งใช้งานไว้ในห้องพักพนักงาน หรือแพนทรี่ จากนั้นก็นำปุ๋ยที่ได้จากการย่อยสลายไปให้กับต้นไม้ตกแต่งตามจุดต่างๆ มีแต่ได้กับได้เห็นๆ
สรุป
การเปลี่ยนแปลงแม้จะเพียงเล็กน้อย คุณและธุรกิจของคุณก็สร้างความแตกต่างให้กับสิ่งแวดล้อมได้
ซึ่งอย่างที่เรากล่าวไว้ก่อนหน้า ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องที่ควรทำเท่านั้น แต่การมองเห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมจะช่วยให้ธุรกิจของคุณได้รับความน่าเชื่อถือ และเพิ่มภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ด้วย ส่งผลดีให้กับธุรกิจทั้งขึ้นทั้งล่อง
ในช่วงเวลาที่คนกำลังตื่นตัวกับเรื่องภาวะเรือนกระจกและภาวะโลกรวน พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปเช่นกัน และพวกเขาก็กำลังมองหาภาคธุรกิจที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมเช่นคุณในการลงทุนด้วย
หากคุณแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าคุณเอาจริงเอาจังกับการเปลี่ยนแปลง ผู้คนจะมองเห็นและนั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นจุดใหม่ของผลประกอบการทางธุรกิจ